หมวดหมู่: คมนาคม

1aaa Kศักดิ์สยาม ชิดชอบ


รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบนโยบายกรมทางหลวงชนบท พร้อมขับเคลื่อนผลงานปี 2563 – 2564 เพื่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง

      นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายให้แก่กรมทางหลวงชนบท (ทช.) โดยมีนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายสุชาติ โชคชัยวัฒนากร กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคม นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม และคณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมฯ ทั้งนี้ มีนายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท พร้อมคณะผู้บริหารให้การต้อนรับและเข้าร่วมรับฟังนโยบาย ณ ห้องประชุมธารสิทธิ์พงษ์ กรมทางหลวงชนบท บางเขน กรุงเทพฯ

     นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมได้ให้ความสำคัญของโครงสร้างพื้นฐาน และการยกระดับคุณภาพชีวิต ส่งเสริมเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว คมนาคมขนส่ง ตลอดจนการแก้ไขปัญหาจราจรเพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก ปลอดภัย ลดปัญหาค่าเดินทาง ค่าครองชีพ ซึ่งที่ผ่านมาในรอบ 5 เดือน ทช.ได้ดำเนินการก่อสร้างโครงการสำคัญขนาดใหญ่เสร็จสมบูรณ์และเปิดให้ประชาชนได้ใช้สัญจรแล้ว จำนวน 5 โครงการ ได้แก่ ถนนสายแยกทางหลวงหมายเลข 1098 - ทางหลวงหมายเลข 1 (ตอนที่ 2) อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย , สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท , ถนนทางหลวงชนบทสายบ้านสระน้อย - บ้านปากน้ำปราณ อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ , ขยายถนนกัลปพฤกษ์ (ช่วงกาญจนาภิเษก-ถนนราชพฤกษ์ และขยายถนนราชพฤกษ์ ระยะที่ 2 (ตอนที่ 3) ช่วงถนนรัตนาธิเบศร์ - ทางหลวงหมายเลข 345

        โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบนโยบายในเรื่องของการเตรียมความพร้อมสำหรับการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อรองรับ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 โดยให้วางแผนการดำเนินโครงการและการเบิกจ่าย เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ทันทีเมื่อ พ.ร.บ.งบประมาณฯ ประกาศใช้ รวมทั้งต้องเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จ ภายในสิ้นปีงบประมาณ และการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ให้ดำเนินการตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด รวมถึงการเตรียมความพร้อมรับมือและฟื้นฟู สถานการณ์ภัยแล้ง อุทกภัย โดยให้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วนต่อไป

      ทั้งนี้ ยังได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ทุ่มเทสรรพกำลังในการลดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา โดยให้ศึกษาจุดเสี่ยงที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง พร้อมปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น รวมทั้งบูรณาการข้อมูลร่วมกันระหว่างหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ และนำเทคโนโลยีมาใช้แบบเรียลไทม์ นำเสนอข้อมูลผ่านแอปพลิเคชั่นเพื่อให้ประชาชนใช้ตัดสินใจในการเลือกเส้นทาง ไม่เฉพาะช่วงเทศกาลเท่านั้น ตลอดจนให้เตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยต้องรายงานผลการทำงาน เพื่อให้ผู้บริหารและประชาชนรับทราบ

      สำหรับ ในปีงบประมาณ 2563 ทช.ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ 47,472.0027 ล้านบาท ซึ่งเป็นการดำเนินการตามภารกิจและนโยบายของรัฐบาล ได้แก่ ถนนลูกรังเป็นถนนลาดยางหรือคอนกรีต ถนนเพื่อการแก้ไขปัญหาจราจรในปริมณฑลและภูมิภาค , ถนนในเขตผังเมืองรวม, ถนนสนับสนุนการท่องเที่ยว, ถนนเพื่อพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้, ถนนเพื่อเชื่อมต่อระบบขนส่ง, ถนนเพื่อสนับสนุนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก EEC และเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน

โดยโครงการที่สำคัญในปีงบประมาณ 2563 ประกอบด้วย

- โครงการก่อสร้างถนนสาย จ4 และ จ5 ผังเมืองรวมเมืองมหาสารคาม ก่อสร้างเป็นถนนขนาด 4 ช่องจราจร ระยะทาง 3.222 กิโลเมตร ระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 167.100 ล้านบาท ปัจจุบันได้ดำเนินการทำแบบ

แล้วเสร็จ ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำราคากลาง คาดว่าจะลงนามในสัญญาภายในเดือนพฤษภาคม 2563

- โครงการก่อสร้างถนนสาย ง1 ผังเมืองรวมเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ก่อสร้างเป็นถนนขนาด 4 ช่องจราจร ระยะทาง 7.425 กิโลเมตร ระยะเวลาดำเนินการ 3 ปี ใช้งบประมาณในการสร้าง 425.450 ล้านบาท ปัจจุบันได้ดำเนินการทำแบบแล้วเสร็จ ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำราคากลาง คาดว่าจะลงนามในสัญญาภายในเดือนพฤษภาคม 2563

- โครงการก่อสร้างถนนสาย นพ.3055 แยก ทล.212 – บ้านเหล่าภูมี อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ก่อสร้างเป็นถนนขนาด 2 ช่องจราจร ระยะทาง 4.287 กิโลเมตร ระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 60.972 ล้านบาท ปัจจุบันได้ดำเนินการทำแบบแล้วเสร็จ ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำราคากลาง คาดว่าจะลงนามในสัญญาภายในเดือนเมษายน 2563

- โครงการศึกษาความเหมาะสมและประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สะพานข้ามทะเลสาบสงขลา ตำบลเกาะใหญ่ อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา ถึง ตำบลจองถนน อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง ใช้งบประมาณ 27.500 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมจัดจ้างที่ปรึกษา

      และ ในปี 2564 ทช.ได้เสนอคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ประมาณ 95,000 ล้านบาท โดยมีโครงการที่สำคัญ อาทิ ถนนสาย สป.4002 แยก ทล.3344 – บ้านบางพลีใหญ่ อำเภอเมือง,บางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ระยะทาง 8.192 กิโลเมตร , ถนนสายแยก ทล.3452 – สี่แยกบ้านสร้าง อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี ระยะทาง 25.656 กิโลเมตร ,

      ถนนสายแยก ทล.11 (ช่วงลำปาง-เชียงใหม่ กม.ที่ 3+800) – ทล.1 (กม.ที่ 712+300) อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง , ถนนสาย ง2 ผังเมืองรวมเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด , ถนนสายแยก ทล.1020 – บ้านกิ่วแก้ว อำเภอเทิง,จุน จังหวัดเชียงราย,พะเยา

      นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนเรื่องการใช้ยางพาราเป็นส่วนผสมในการซ่อมสร้าง ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ได้เน้นย้ำในเรื่องการนำยางพารามาเป็นส่วนผสม ในอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัยให้มากขึ้น เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง พร้อมส่งเสริมการใช้ยางพาราภายในประเทศ ซึ่งในปี 2563 ทช.จะนำยางพารามาใช้ในงานถนนและอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย ทั้งนี้ ทช.ได้ร่วมกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ได้ทำการทดสอบ rubber fender barriers ทั้งตัวแผ่นยางที่หุ้มแบริเออร์ ตัวคอนกรีตแบริเออร์ และได้ผ่านการทดสอบในการรับน้ำหนัก การคงทนสภาพ ในห้องปฏิบัติการ (lab) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งได้เริ่มทดสอบให้รถเข้าชนกับ rubber fender barriers

      โดยใช้มาตรฐาน Manual for Assessing Safety Hardware หรือ MASH ด้วยการนำรถกระบะหนัก 2.270 ตัน พุ่งชนด้วยความเร็ว 100 กม./ชม. บริเวณรอยต่อระหว่างแบริเออร์ แล้วเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา ผลของการทดสอบในครั้งแรกปรากฏว่า แรงกระแทกของรถยนต์ กับ rubber fender barriers อยู่ที่ 55.6 G ซึ่งการชนที่เป็นอันตรายต้องมากกว่า 60 G และกาวที่ใช้ยึดตัวแผ่นยางกับแบริเออร์หลุดออกจากกัน ซึ่งจะมีการปรับปรุงกาวโดยใช้กาว Epoxy ที่มีแรงยึดมากกว่า โดยการทดสอบครั้งต่อไปจะมีในวันที่ 26 มกราคม ถึง 6 กุมภาพันธ์ 2563 จะเป็นการทดสอบอีก 12 ครั้ง แบ่งเป็น รถยนต์ 6 ครั้ง รถจักรยานยนต์ 6 ครั้ง และจะนำผลที่ได้ส่งไปทดสอบต่อที่ประเทศเกาหลีในวันที่ 26 -29 กุมภาพันธ์ นี้ พร้อมทั้งสรุปผลทั้งหมดในวันที่ 6 มีนาคม 2563 ต่อไป

      นอกจากนี้ ทช.ยังได้มีมาตรการในการลดมลภาวะทางอากาศ PM 2.5 เพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยได้จำกัดพื้นที่หน้างานเพื่อให้เกิดฝุ่นละอองน้อยที่สุด รวมทั้งได้ติดตั้งระบบ High Pressure Water System ปล่อยละอองน้ำเพื่อดักจับฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 จำนวน 6 แห่ง ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ได้แก่ บริเวณสะพานพุทธยอดฟ้า สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า สะพานพระราม 7 สะพานภูมิพล ถนนราชพฤกษ์ กม.15+050 และถนนราชพฤกษ์ ช่วงทางต่างระดับสวนเลียบ รวมทั้ง ในเรื่องของการบริหารจัดการเครื่องจักรกล ยานพาหนะเพื่อลดมลภาวะ โดยหมั่นตรวจสอบสภาพเครื่องจักรให้อยู่ในสภาพดี ทำความสะอาดไส้กรองอากาศอย่างสม่ำเสมอ งดใช้น้ำมันเครื่องที่ใช้แล้วกับเครื่องจักร เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามกำหนด และเลือกใช้เกรดน้ำมันเครื่องให้เหมาะสมกับการใช้งาน ตลอดจนการเตรียมความพร้อมเผชิญเหตุกรณีเกิดไฟไหม้ข้างทาง เมื่อมีการตัดหญ้าสองข้างทางแล้วเสร็จ ให้จัดเก็บเศษหญ้า วัชพืช ให้เรียบร้อย และจัดทำป้ายรณรงค์ ให้หยุดเผาป่า หญ้า วัชพืช ในเขตทางหลวงชนบท ซึ่งหากเกิดเหตุให้สนับสนุนรถบรรทุกน้ำพร้อมบุคลากร บูรณาการดับไฟป่าร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่อย่างเร่งด่วน

******************************************

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

sme 720x90banpu 720x90 new1 1

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!